การเพาะเลี้ยงปลานิล
ปลานิล
Oreochromis nilotica
เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณค่าทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508
เป็นต้นมา สามารถเลี้ยงได้ในทุกสภาพ การเพาะเลี้ยงในระยะเวลา
8
เดือน
– 1
ปี
สามารถเจริญเติบโตได้ถึงขนาด
500
กรัม
เนื้อปลามีรสชาติดี มีผู้นิยมบริโภคกันอย่างกว้างขวาง
ขนาดปลานิลที่ตลาดต้องการจะมีน้ำหนักตัวละ
200 – 300
กรัม
จากคุณสมบัติของปลานิลซึ่งเลี้ยงง่ายเจริญเติบโตเร็วแต่ปัจจุบันปลานิล
พันธุ์แท้ค่อนข้างจะหายาก
เพื่อให้ได้ปลานิลพันธุ์ดีกรมประมงจึงได้ดำเนินการ
ปรับปรุงพันธุ์ปลานิลในด้านต่างๆอาทิ เจริญเติบโตเร็ว
ปริมาณความดกของไข่สูง
ให้ผลผลิตและมีความต้านทานโรคสูง เป็นต้น
ดังนั้นผู้เลี้ยงปลานิลจะได้มีความมั่นใจในการเลี้ยงปลานิจเพื่อเพิ่มผลผลิต
สัตว์น้ำให้เพียงพอต่อการบริโภคต่อไป
ความเป็นมา
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต
เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น
ทรงจัดส่งปลานิลจำนวน
50
ตัวความยาวเฉลี่ยประมาณตัวละ
9
เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ
14
กรัม
มาทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่
25
มีนาคม พ.ศ.
2508
นั้น ในระยะแรกได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ปล่อยบ่อดิน
เนื้อที่ประมาณ
10
ตารางเมตร ณ บริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อเลี้ยงมาได้
5
เดือนเศษ ปรากฏว่ามีลูกปลาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าหน้าที่ที่สวนหลวงขุดบ่อใหม่ขึ้น
6
บ่อ
มีเนื้อที่เฉลี่ยบ่อละ
70
ตารางเมตร
ซึ่งในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ายพันธุ์ปลาด้วยพระองค์เองจากบ่อเดิมไปปล่อยเลี้ยงในบ่อใหม่ทั้ง
6
บ่อ เมื่อวันที่
1
กันยายน
2508
ต่อจากนั้น
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กรมประมงจัดส่งเจ้าหน้าที่วิชาการมาตรวจสอบการเจริญเติบโตเป็นประจำทุกเดือน
โดยที่ปลาชนิดนี้เป็นจำพวกกินพืช เลี้ยงง่าย มีรสชาติดี ออกลูกดก
เจริญเติบโตได้รวดเร็ว ในเวลา
1
ปี
จะมีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และมีความยาวประมาณ
1
ฟุต
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ปลาชนิดนี้แพร่ขยายพันธุ์
อันจะเป็นประโยชน์แก่พสกนิกรของพระองค์ต่อไป ดังนั้นเมื่อวันที่
17
มีนาคม
2509
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อปลาชนิดนี้ว่า
“ปลานิล”
และได้พระราชทานปลานิลขนาดยาว
3 – 5
เซนติเมตร จำนวน
10,000
ตัว
ให้แก่กรมประมงนำไปเพาะเลี้ยงขยายพันธ์ที่แผนกทดลองและเพาะเลี้ยงในบริเวณเกษตรกลาง
บางเขนและที่สถานีประมงต่างๆทั่วราชอาณาจักร รวม
15
แห่ง
เพื่อดำเนินการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์พร้อมกัน
เมื่อปลานิลแพร่ขยายพันธุ์ออกไปได้มากเพียงพอแล้วจึงได้แจกจ่ายให้แก่ราษฎรนำไปเพาะเลี้ยงตามพระราชประสงค์ต่อไป
รูปร่างลักษณะ
ปลานิลเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลซิคลิดี(Cichlidae)
มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ทวีปแอฟริกา พบทั่วไปตามหนอง บึง
และทะเลสาบ ในประเทศซูดาน ยูกันดา แทนแกนยีกา
โดยที่ปลานิลชนิดนี้เจริญเติบโตเร็วและเลี้ยงง่าย
เหมาะสมที่จะนำมาเพาะเลี้ยงในบ่อได้เป็นอย่างดี
จึงได้รับความนิยมและเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในภาคพื้นเอเชีย
แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็นิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้
รูปร่างลักษณะของปลานิลคล้ายกับปลาหมอเทศ แต่ลักษณะพิเศษของปลานิลมีดังนี้คือ
ริมฝีปากบนและร่างเสมอกัน ที่บริเวณแก้มมีเกล็ด
4
แถว
ตามลำตัวมีลายพาดขวางจำนวน
9 – 10
แถบ นอกจากนั้นลักษณะทั่วไปมีดังนี้ ครีบหลังมีเพียง
1
ครีบ
ประกอบด้วยก้านครีบแข็งและก้านครีบอ่อนเป็นจำนวนมาก
ครีบก้นประกอบด้วยก้านครีบแข็งและอ่อนเช่นกัน มีเกล็ดตามแนวเส้นข้างตัว
33
เกล็ด ลำตัวมีสีเขียวปนน้ำตาล ตรงกลางเกล็ดมีสีเข้ม
ที่กระดูกแก้มมีจุดสีเข้มอยู่จุดหนึ่งบริเวณส่วนอ่อนของครีบหลัง ครีบก้น
และครีบหางนั้นจะมีจุดสีขาวและสีดำตัดขวางแลดูคล้ายลายข้าวตรอกอยู่โดยทั่วไป
ต่อมากรมประมงโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาและพันธุกรรมสัตว์น้ำได้นำปลานิลสาย
พันธุ์แท้มีชื่อว่าปลานิลสายพันธุ์จิตรลดาไปดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ได้ปลา
นิลสายพันธุ์ใหม่
จำนวน
3
สายพันธุ์ ดังนี้
1. ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดา
1
เป็นปลานิลที่ปรับปรุงพันธุ์มาจากปลานิลสายพันธ์แบบคัดเลือกภายในครอบครัว
(within family selection)
เริ่มดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528
จนถึงปัจจุบันเป็นชั่วอายุที่
7
ซึ่งทดสอบพันธุ์แล้วพบว่ามีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่าปลานิลพันธุที่เกษตรกรเลี้ยง
22 %
2. ปลานิลสายพันธุ์จิตลดา
2
เป็นปลานิลที่พัฒนาพันธุ์มาจากปลานิลสายพันธุ์จิตรลดา
โดยการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมในพ่อพันธุ์ให้มีโครโมโซมเป็น
"YY"
ที่เรียกว่า
"YY
- Male"
หรือซุปเปอร์เมล
ซึ่งเมื่อนำพ่อพันธุ์ดังกล่าวไปผสมพันธุ์กับแม่พันธุ์ปรกติจะได้ลูกปลานิลเพศผู้ที่เรียกว่า
"ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดา
2 "
ซึ่งมีลักษณะเด่นคือเป็นเพศผู้ที่มีโครโมโซมเพศเป็น
"XY"
ส่วนหัวเล็กลำตัวกว้าง
สีขาวนวล เนื้อหนาและแน่น รสชาติดี อายุ
6 – 8
เดือน สามารถเจริญเติบโตได้ขนาด
2 – 3
ตัวต่อกิโลกรัม ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าปลานิลพันธุ์ที่เกษตรกรเลี้ยง
45
%
3. ปลานิลสายพันธุจิตรลดา
3
เป็นปลานิลที่ปรับปรุงพันธุ์มาจากการนำปลานิลพันธุ์ผสมกลุ่มต่างๆที่เกิดจาก
การผสมพันธุ์ระหว่างปลานิลสายพันธุ์จิตรลดาและปลานิลสายพันธุ์อื่นๆ
อีก
7
สายพันธุ์ ได้แก่ อียิปต์ กานา เคนยา สิงคโปร์ เซเนกัล
อิสราเอล และไต้หวันซึ่งมีการเจริญเติบโตเร็วและมีอัตรารอดสูง
ในสภาพแวดล้อมการเลี้ยงต่างๆ ไปสร้างเป็นประชากรพื้นฐาน
จากนั้นจึงดำเนินการคัดพันธุ์ในประชากรพื้นฐานต่อโดยวิธีดูลักษณะครอบครัวร่วมกับวิธีดูลักษณะภายในครอบครัว
ปลานิลชั่วอายุที่
1 – 5
ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์โดยหน่วยงาน
ICLARM
ในประเทศฟิลิปปินส์ จากนั้นจึงนำลูกปลาชั่วอายุที่
5
เข้ามาในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2538
สถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำจึงดำเนินการปรับปรุงปลาพันธุ์ดังกล่าวต่อ
โดยวิธีการเดิมจนในปัจจุบันได้
2
ชั่วอายุ
และเรียกว่า
"ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดา
3
"
ปลาสายพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นคือ ส่วนหัวเล็ก ลำตัวกว้าง
สีเหลืองนวล เนื้อหนาและแน่น รสชาติดี อายุ
6 – 8
เดือน สามารถเจริญเติบโตได้ขนาด
3 – 4
ตัวต่อกิโลกรัม ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าปลานิลพันธุ์ที่เกษตรกรเลี้ยง
40 %
ปัจจุบันสถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำได้กระจายพันธุ์ปลานิลทั้ง
3
สายพันธุ์ ไปสู่ภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ
เพื่อใช้ในการเพาะเลี้ยงแล้ว
โดยหน่วยงานของสถาบันฯในจังหวัดปทุมธานีและหน่วยพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำจืดพิษณุโลก
ขอนแก่น และสุราษฏร์ธานี
นอกจากนี้ยังดำเนินการดำรงสายพันธุ์และทดสอบพันธุ์ปลานิลดังกล่าวด้วย
คุณสมบัติและนิสัย
ปลานิลมีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง
(ยกเว้นเวลาสืบพันธุ์)
มีความอดทนและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
จากการศึกษาพบว่า ปลานิลทนต่อความเค็มได้ถึง
20
ส่วนในพันส่วน ทนต่อค่าความเป็นกรด
–
ด่าง
(pH)
ได้ดีในช่วง
6.5 – 8.3
และสามารถทนต่ออุณหภูมิได้ถึง
40
องศาเซลเซียส แต่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า
10
องศาเซลเซียสพบว่าปลานิลปรับตัวและเจริญเติบโตได้ไม่ดีนักทั้งนี้เป็นเพราะถิ่นกำเนิดเดิมของปลาชนิดนี้อยู่ในเขตร้อน
การสืบพันธุ์
1. ลักษณะ ตามปกติแล้วรูปร่างภายนอกของปลานิลตัวผู้และตัวเมีย จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่จะสังเกตลักษณะเพศได้ก็โดยการดูอวัยวะเพศที่บริเวณใกล้กับช่องทวาร โดยตัวผู้จะมีอวัยวะเพศในลักษณะเรียวยาวยื่นออกมา แต่สำหรับตัวเมียจะมีลักษณะเป็นรูค่อนข้างใหญ่และกลม ขนาดปลาที่จะดูเพศได้ชัดเจนนั้นต้องเป็นปลาที่มีขนาดความยาวตั้งแต่10 เซนติเมตรขึ้นไป สำหรับปลาที่มีขนาดโตเต็มที่นั้นเราจะสังเกตเพศได้อีกวิธีหนึ่งด้วยการดูสี ที่ลำตัวซึ่งปลาตัวผู้ที่ใต้คางและลำตัวจะมีสีเข้มต่างกับตัวเมีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูผสมพันธุ์สีจะยิ่งเข้มขึ้น
2. การผสมพันธุ์และวางไข่
ปลานิลสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปีโดยใช้เวลา
2 – 3เดือน/ครั้ง
แต่ถ้าอาหารเพียงพอและเหมาะสมในระยะเวลา
1
ปี
จะผสมพันธุ์ได้
5 – 6
ครั้ง
ขนาดอายุและช่วงการสืบพันธุ์ของปลาแต่ละตัวจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม และสภาพทางสรีรวิทยาของปลาเอง
การวิวัฒนาการของรังไข่และถุงน้ำเชื่อของปลานิล
พบว่าปลานิลจะมีไข่และน้ำเชื่อเมื่อมีความยาว
6.5
ซม.
โดยปรกติ ปลานิลที่ยังโตไม่ได้ขนาดผสมพันธุ์หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมเพื่อการวางไข่ ปลารวมกันอยู่เป็นฝูง แต่ภายหลังที่ปลามีขนาดที่จะสืบพันธุ์ได้ปลาตัวผู้จะแยกออกจากฝูงแล้วเริ่ม สร้างรังโดยเลือกเอาบริเวณเชิงลาดหรือก้นบ่อที่มีระดับน้ำลึกระหว่าง 0.5 – 1 เมตร วิธีการสร้างรังนั้นปลาจะปักหัวลง โดยที่ตัวของมันอยู่ในระดับที่ตั้งฉากกับพื้นดิน แล้วใช้ปากพร้อมกับการเคลื่อนไหวของลำตัวเพื่อเขี่ยดินตะกอนออกจากนั้นจะอม ดินตะกอนงับเศษสิ่งของต่างๆออกไปทิ้งนอกรังทำเช่นนี้จนกว่าจะได้รังที่มี ลักษณะค่อนข้างกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 – 35 ซม. ลึกประมาณ 3 – 6 ซม. ความกว้างและความลึกของรังไข่ขึ้นอยู่กับขนาดของพ่อปลาหลังจากสร้างรังเรียบร้อยแล้วมันพยายามไล่ปลาตัวอื่นๆ ให้ออกไปนอกรัศมีของรังไข่ประมาณ2–3เมตร ขณะเดียวกันพ่อปลาที่สร้างรังจะแผ่ครีบหางและอ้าปากกว้าง ในขณะที่ปลาตัวเมียว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆรัง และเมื่อเลือกตัวเมียได้ถูกใจแล้วก็แสดงอาการจับคู่ โดยว่ายน้ำเคล้าคู่กันไปโดยใช้หางดีดและกัดกันเบาๆ การเคล้าเคลียดังกล่าวใช้เวลาไม่นานนัก ปลาตัวผู้ก็จะใช้บริเวณหน้าผากดุนที่ใต้ท้องของตัวเมียเพื่อเป็นการกระตุ้น เร่งเร้าให้ตัวเมียวางไข่ ซึ่งตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 10 – 15 ฟอง ปริมาณไข่รวมกันแต่ละครั้งมีปริมาณ 50 – 600 ฟอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปลา เมื่อปลาวางไข่แต่ละครั้งปลาตัวผู้จะว่ายไปเหนือไข่พร้อมกับปล่อยน้ำเชื้อลงไปทำเช่นนี้จนกว่าการผสมพันธุ์แล้วเสร็จโดยใช้เวลา 1 – 2 ชั่วโมง ปลาตัวเมียเก็บไข่ที่ได้รับการผสมแล้วอมไว้ในปากและว่ายออกจากรังส่วนปลาตัวผู้ก็จะคอยหาโอกาสเค้าเคลียกับปลาตัวเมียอื่นต่อไป
โดยปรกติ ปลานิลที่ยังโตไม่ได้ขนาดผสมพันธุ์หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมเพื่อการวางไข่ ปลารวมกันอยู่เป็นฝูง แต่ภายหลังที่ปลามีขนาดที่จะสืบพันธุ์ได้ปลาตัวผู้จะแยกออกจากฝูงแล้วเริ่ม สร้างรังโดยเลือกเอาบริเวณเชิงลาดหรือก้นบ่อที่มีระดับน้ำลึกระหว่าง 0.5 – 1 เมตร วิธีการสร้างรังนั้นปลาจะปักหัวลง โดยที่ตัวของมันอยู่ในระดับที่ตั้งฉากกับพื้นดิน แล้วใช้ปากพร้อมกับการเคลื่อนไหวของลำตัวเพื่อเขี่ยดินตะกอนออกจากนั้นจะอม ดินตะกอนงับเศษสิ่งของต่างๆออกไปทิ้งนอกรังทำเช่นนี้จนกว่าจะได้รังที่มี ลักษณะค่อนข้างกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 – 35 ซม. ลึกประมาณ 3 – 6 ซม. ความกว้างและความลึกของรังไข่ขึ้นอยู่กับขนาดของพ่อปลาหลังจากสร้างรังเรียบร้อยแล้วมันพยายามไล่ปลาตัวอื่นๆ ให้ออกไปนอกรัศมีของรังไข่ประมาณ2–3เมตร ขณะเดียวกันพ่อปลาที่สร้างรังจะแผ่ครีบหางและอ้าปากกว้าง ในขณะที่ปลาตัวเมียว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆรัง และเมื่อเลือกตัวเมียได้ถูกใจแล้วก็แสดงอาการจับคู่ โดยว่ายน้ำเคล้าคู่กันไปโดยใช้หางดีดและกัดกันเบาๆ การเคล้าเคลียดังกล่าวใช้เวลาไม่นานนัก ปลาตัวผู้ก็จะใช้บริเวณหน้าผากดุนที่ใต้ท้องของตัวเมียเพื่อเป็นการกระตุ้น เร่งเร้าให้ตัวเมียวางไข่ ซึ่งตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 10 – 15 ฟอง ปริมาณไข่รวมกันแต่ละครั้งมีปริมาณ 50 – 600 ฟอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปลา เมื่อปลาวางไข่แต่ละครั้งปลาตัวผู้จะว่ายไปเหนือไข่พร้อมกับปล่อยน้ำเชื้อลงไปทำเช่นนี้จนกว่าการผสมพันธุ์แล้วเสร็จโดยใช้เวลา 1 – 2 ชั่วโมง ปลาตัวเมียเก็บไข่ที่ได้รับการผสมแล้วอมไว้ในปากและว่ายออกจากรังส่วนปลาตัวผู้ก็จะคอยหาโอกาสเค้าเคลียกับปลาตัวเมียอื่นต่อไป
3. การฟักไข่
ไข่ปลาที่อมไว้โดยปลาตัวเมียจะวิวัฒนาการขึ้นตามลำดับ
แม่ปลาจะขยับปากให้น้ำไหลเข้าออกในช่องปากอยู่เสมอ
เพื่อช่วยให้ไข่ที่อมไว้ได้รับน้ำที่สะอาด
ทั้งยังเป็นการป้องกันศัตรูที่จะมากินไข่
ระยะเวลาฟักไข่ที่ใช้แตกต่างกันตามอุณหภูมิของน้ำ สำหรับน้ำที่มีอุณหภูมิ
27
องศาเซลเซียส ไข่จะมีวิวัฒนาการเป็นลูกปลาวัยอ่อนภายใน
8
วัน ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวถุงอาหารยังไม่ยุบ และจะยุบเมื่อลูกปลามีอายุครบ
13 –
14
วัน นับจากวันที่แม่ปลาวางไข่
ในช่วงระยะเวลาที่ลูกปลาฟักออกมาเป็นตัวใหม่ๆ
ลูกปลานิลวัยอ่อนจะเกาะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
โดยว่ายวนเวียนอยู่บริเวณหัวของแม่ปลา
และเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในช่องปากเมื่อมีภัย หรือถูกรบกวนโดยปลานิลด้วยกันเอง
เมื่อถุงอาหารยุบลงลูกปลานิลจะเริ่มกินอาหารจำพวกพืชและไรน้ำขนาดเล็กได้
และหลังจาก
3 สัปดาห์แล้วลูกปลาก็จะกระจายแตกฝูงไปหากินเลี้ยงตัวเองได้โดยลำพัง
การเพาะพันธุ์ปลานิล
การเพาะพันธุ์ปลานิลให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพต้องได้รับการเอาใจใส่และมีการปฏิบัติด้านต่างๆ
เช่น การเตรียมบ่อ การเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
การตรวจสอบลูกปลาและการอนุบาลลูกปลาและการอนุบาลลูกปลาสำหรับการเพาะพันธุ์ปลานิลอาจทำได้ทั้งในบ่อดิน
บ่อซีเมนต์ และกระชังไนลอนตาถี่ ดังวิธีการต่อไปนี้
1.
การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์
1.1
บ่อดิน
บ่อเพาะปลานิลควรเป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเนื้อที่ตั้งแต่
50–1,600
ตารางเมตร สามารถเก็บกักน้ำได้สูง
1
เมตร
บ่อควรมีเชิงลาดตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันดินพังทลาย และมีชานบ่อกว้าง
1 –
2
เมตร
ถ้าเป็นบ่อเก่าก็ควรวิดน้ำและสาดเลนขึ้นตกแต่งภายในบ่อให้ดินแน่น
ใส่โล่ติ๊นกำจัดศัตรูของปลาในอัตราส่วนโล่ติ๊นแห้ง
1
กก./
ปริมาตรของน้ำ
100
ลูกบาศก์เมตร โรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ
1
กก./พื้นที่บ่อ
10
ตรม.
ใส่ปุ๋ยคอกแห้ง
300
กก./ไร่
ตากบ่อทิ้งไว้ประมาณ
2
– 3
วัน
จึงเปิดหรือสูบน้ำเข้าบ่อผ่านผ้ากรองหรือตะแกรงตาถี่ให้มีระดับสูงประมาณ
1
เมตร การใช้บ่อดินเพาะปลานิล จะมีประสิทธิภาพดีกว่าวิธีอื่น
เพราะเป็นบ่อที่มีลักษณะคล้ายคลึงตามธรรมชาติ
และการผลิตลูกปลานิลจากบ่อดินจะได้ผลผลิตสูงและต่ำกว่าต้นทุนกว่าวิธีอื่น
1.2
บ่อซีเมนต์
ก็สามารถใช้ผลิตลูกปลานิลได้ รูปร่างของบ่อจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
หรือทรงกรมก็ได้ มีความลึกประมาณ
1
เมตร
พื้นที่ผิวน้ำตั้งแต่
10
ตารางเมตรขึ้นไป
ทำความสะอาดบ่อและเติมน้ำที่กรองด้วยผ้าไนลอนหรือมุ้งลวดตาถี่ให้มีระดับความสูงประมาณ
80
ซม.
ถ้าใช้เครื่องเป่าลมช่วยเพิ่มออกชิเจนในน้ำจะทำให้การเพาะพันธุ์ปลานิลด้วยวิธีนี้ได้ผลมากขึ้น
อนึ่ง การเพาะปลานิลในบ่อซีเมนต์ ถ้าจะให้ได้ลูกปลามากก็ต้องใช้บ่อขนาดใหญ่
ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสูง
1.3 กระชังไนลอนตาถี่
ขนาดของกระชังที่ใช้ประมาณ 5x8x2 เมตร
วางกระชังในบ่อดินหรือในหนอง บึง อ่างเก็บน้ำ
ให้พื้นกระชังอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำประมาณ
1
เมตร
ใช้หลักไม้
4
หลัก
ผูกตรงมุม
4
มุม
ยึดปากและพื้นกระชังให้แน่นเพื่อให้กระชังขึงตึงการเพาะพันธุ์ปลานิลด้วย
วิธีนี้มีความเหมาะสมที่จะใช้ผลิตลูกปลาในกรณีซึ่งเกษตรกรไม่มีพื้นที่
2. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
การคัดเลือกพ่อแม่ปลานิล
โดยการสังเกตลักษณะภายนอก
ของปลาที่สมบูรณ์
ปราศจากเชื้อโรคและบาดแผล
สำหรับพ่อแม่ปลาที่พร้อมจะวางไข่นั้นสังเกตได้จากอวัยวะเพศ
ถ้าเป็นปลาตัวเมียจะมีสีชมพูแดงเรื่อ
ส่วนปลาตัวผู้ก็สังเกตได้จากสีของปลาตัวผู้และตัวควรมีขนาดไล่เลี่ยกันคือมีความยาวตั้งแต่
15 –
25
เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่
150 – 200
กรัม
3. อัตราส่วนที่ปล่อยพ่อแม่ปลาลงเพาะพันธุ์
ปริมาณพ่อแม่ปลาที่จะนำไปปล่อยในบ่อเพาะ
1
ตัว/4
ตารางเมตร หรือไร่ละ
400
ตัว
ควรปล่อยในอัตราส่วนพ่อปลา
2
ตัว/ปลา
3
ตัว จากการสังเกตพฤติกรรมในการผสมพันธุ์ของปลาชนิดนี้
ปลาตัวผู้มีสรรถภาพที่จะผสมพันธุ์กับปลาตัวเมียอื่นๆ ได้อีก
ดังนั้นการเพิ่มอัตราส่วนของปลาตัวเมียให้มากขึ้นก็จะทำให้ได้ลูกปลานิลเพิ่มขึ้น
ส่วนการเพาะปลานิลในกระชังใช้อัตราส่วนปลา 6
ตัว
/
ตารางเมตร โดยใช้ตัวผู้
1
ตัว
/
ตัวเมีย
3 – 5
ตัว การเพาะปลานิลแต่ละรุ่นจะใช้เวลาประมาณ
2
เดือน
จึงเปลี่ยนพ่อแม่ปลารุ่นใหม่ต่อไป
4. การให้อาหารและปุ๋ยในบ่อเพาะพันธุ์
การเลี้ยงปลานิลมีความจำเป็นที่ต้องให้อาหารสมทบหรืออาหารผสม ได้แก่ ปลายข้าว
สาหร่าย รำละเอียด ในอัตราส่วน
1 : 2 : 3
โดยให้อาหารดังกล่าวแก่พ่อแม่ปลานิลประมาณ
2%
ของน้ำหนักตัว
ทั้งนี้เพื่อให้ปลานิลใช้เป็นพลังงานซึ่งต้องใช้พลังงานมากกว่าในช่วงการผสมพันธุ์
ส่วนปุ๋ยคอกแห้งก็ต้องใส่ในอัตราส่วนประมาณ
100 – 200
กก./
ไร่
/
เดือน
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มปริมาณอาหารธรรมชาติในบ่อ ได้แก่
พืชน้ำขนาดเล็กๆไรน้ำและตัวอ่อน
อันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกปลานิลวัยอ่อนภายหลังที่ถุงอาหารยุบตัวลง
และจะต้องดำรงชีวิตอยู่ในบ่อเพาะดังกล่าวประมาณ 1
สัปดาห์ก่อนย้ายไปเลี้ยงในบ่ออนุบาล
ถ้าในบ่อขาดอาหารธรรมชาติดังกล่าว
ผลผลิตลูกปลานิลจะได้น้อยเพราะขาดอาหารที่จำเป็นเบื้องต้น
หลังจากถุงอาหารได้ยุบลงใหม่ๆ
ก่อนที่ลูกปลานิลจะสามารถกินอาหารสมทบอื่นๆได้อาหารสมทบที่หาได้ง่ายคือ
รำข้าว ซึ่งควรปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นโดยใช้ปลาป่น กากถั่ว
และวิตามินเป็นส่วนผสม
นอกจากนี้แหนเป็ดและสาหร่ายบางชนิดก็สามารถใช้เป็นอาหารเสริมแก่พ่อแม่ปลา
นิลได้เป็นอย่างดีในกรณีที่ใช้กระชังไนลอนตาถี่เพาะพันธุ์ปลานิลก็ควรให้
อาหารสมทบแก่พ่อแม่ปลาอย่างเดียว
การอนุบาลลูกปลานิล
บ่อดิน
1. บ่อดิน
บ่อดินควรมีขนาดประมาณ
200
ตรม.
ถ้าเป็นบ่อรูปสามเหลี่ยมผืนผ้าจะสะดวกในการจับย้ายลูกปลา
น้ำในบ่อควรมีระดับความลึกประมาณ
1
เมตร
บ่ออนุบาลปลานิลควรเตรียมไว้ให้มีจำนวนมากพอเพื่อให้เลี้ยงลูกปลาขนาดเดียว
กันที่ย้ายมาจากบ่อเพาะการเตรียมบ่อเพาะการเตรียมบ่ออนุบาลควรดำเนินการล่วง
หน้าประมาณ
1
สัปดาห์ บ่อขนาดดังกล่าวนี้จะใช้อนุบาลลูกปลานิลขนาด
1 – 2
ซม.
ได้ครั้งละประมาณ
50,000
ตัว
การอนุบาลลูกปลานิล นอกจากใช้ปุ๋ยเพาะอาหารธรรมชาติ
แล้วจำเป็นต้องให้อาหารสมทบ เช่น รำละเอียด กากถั่วอีกวันละ
2
ครั้ง
พร้อมทั้งสังเกตความอุดมสมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติจากสีของน้ำซึ่งมีสีเขียวอ่อน
หรือจะใช้ถุงลากแฟรงก์ตอนตรวจดูปริมาณของไรน้ำก็ได้
ถ้ามีปริมาณน้อยก็ควรเติมปุ๋ยคอก ในช่วงเวลา
5 – 6
สัปดาห์ ลูกปลาจะโตมีขนาด
3 – 5
ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมจะนำไปเลี้ยงเป็นปลาใหญ่
นาข้าว
นาข้าว
2.
นาข้าว
ใช้เป็นบ่ออนุบาลโดยนาข้าวที่ได้เสริมคันดินให้แน่น
เพื่อเก็บกักน้ำให้มีระดับความสูงประมาณ
50
ซม.
โดยใช้ดินที่ขุดขึ้นรอบคันนาไปเสริม
ซึ่งจะมีคูขนาดเล็กโดยรอบพร้อมบ่อขนาดเล็กประมาณ
2x5
เมตร ลึก
1
เมตร
ให้ด้านคันนาที่ลาดเอียงต่ำสุดเป็นที่รวบรวมลูกปลาขณะจับ
พื้นที่นาดังกล่าวก็จะเป็นนาอนุบาลลูกปลานิลได้หลังจากปักดำข้าว
10
วัน หรือภายหลังที่เก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ส่วนการให้อาหารและปุ๋ย
ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับบ่ออนุบาล
การป้องกันศัตรูของปลานิลในนาข้าวควรใช้อวนไนลอนตาถี่สูงประมาณ
1
เมตร ทำเป็นรั้วล้อมรอบเพื่อป้องกันศัตรูของปลาจำพวก กบ งู เป็นต้น
บ่อซีเมนต์
3. บ่อซีเมนต์ บ่ออนุบาลปลานิลและบ่อเพาะปลานิลจะใช้บ่อเดียวกันก็ได้ ซึ่งสามารถใช้อนุบาลลูกปลาวัยอ่อนได้ตารางเมตรละประมาณ 300 ตัว เป็นเวลา 4 – 6 สัปดาห์ โดยใช้เครื่องเป่าลมช่วยและเปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณครึ่งบ่อสัปดาห์ละครั้ง ให้อาหารสมทบวันละ 3 เวลา ลูกปลาที่เลี้ยงจะเติบโตขึ้นมีขนาด 3 – 5 ซม.
3. บ่อซีเมนต์ บ่ออนุบาลปลานิลและบ่อเพาะปลานิลจะใช้บ่อเดียวกันก็ได้ ซึ่งสามารถใช้อนุบาลลูกปลาวัยอ่อนได้ตารางเมตรละประมาณ 300 ตัว เป็นเวลา 4 – 6 สัปดาห์ โดยใช้เครื่องเป่าลมช่วยและเปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณครึ่งบ่อสัปดาห์ละครั้ง ให้อาหารสมทบวันละ 3 เวลา ลูกปลาที่เลี้ยงจะเติบโตขึ้นมีขนาด 3 – 5 ซม.
กระชังไนลอนตาถี่
4. กระชังไนลอนตาถี่ ขนาด 3x3x2 เมตร สามารถใช้อนุบาลลูกปลาวัยอ่อนได้ครั้งละจำนวน 3,000 – 5,000 ตัว โดยให้ไข่แดงต้มบดให้ละเอียด วันละ 3 – 4 ครั้ง หลังจากถุงอาหารของลูกปลายุบตัวลงใหม่ๆ เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงให้รำละเอียดอัตรา 1 ส่วนติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 4-5 สัปดาห์ ลูกปลาจะโตขึ้นมีขนาด 3 – 5 ซม. ซึ่งสามารถนำไปเลี้ยงเป็นปลาขนาดใหญ่หรือจำหน่ายให้แก่ผู้เลี้ยงปลา
4. กระชังไนลอนตาถี่ ขนาด 3x3x2 เมตร สามารถใช้อนุบาลลูกปลาวัยอ่อนได้ครั้งละจำนวน 3,000 – 5,000 ตัว โดยให้ไข่แดงต้มบดให้ละเอียด วันละ 3 – 4 ครั้ง หลังจากถุงอาหารของลูกปลายุบตัวลงใหม่ๆ เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงให้รำละเอียดอัตรา 1 ส่วนติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 4-5 สัปดาห์ ลูกปลาจะโตขึ้นมีขนาด 3 – 5 ซม. ซึ่งสามารถนำไปเลี้ยงเป็นปลาขนาดใหญ่หรือจำหน่ายให้แก่ผู้เลี้ยงปลา
การ
อนุบาลลูกปลานิลอาจจะใช้บ่อเพาะพันธุ์อนุบาลปลานิลเลยก็ได้เพื่อเป็นการ
ประหยัดโดยช้อนเอาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ออกไปเลี้ยงไว้ต่างหาก
การเลี้ยง
ปลานิลเป็นปลาที่ประชาชนนิยมเลี้ยงกัน
มากชนิดหนึ่งทั้งในรูปแบบการค้า
และเลี้ยงไวบริโภคในครัวเรือน ทั้งนี้เนื่องจากปลานิลเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย
กินอาหารได้แทบทุกชนิด เนื้อมีรสชาติดีตลาดมีความต้องการสูง
การเลี้ยงปลาชนิดนี้เพื่อผลิตจำหน่าย
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาช่วยลดต้นทุนการผลิตให้มากที่สุดในเรื่องอาหารปลาที่จะนำใช้เลี้ยง
กล่าวคือต้องเป็นอาหารที่หาได้ง่าย ราคาต่ำ
นอกจากนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้มีความจำเป็นในด้านการจัดการฟอร์มที่เหมาะสม
เพราะปลานิลเป็นปลาที่ออกลูกดกถ้าปลาในบ่อมีความหนาแน่นมากก็จะไม่เจริญเติบโต
ดังนั้นการเลี้ยงที่จะให้ได้ผลดีเป็นที่พอใจก็จำเป็นต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาการประเภทของการเลี้ยง
และขั้นตอนต่อไปนี้
1.
บ่อดิน
บ่อที่เลี้ยงปลานิลควรเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อสะดวกในการจับ
เนื้อที่ตั้งแต่
200
ตารางเมตรขึ้นไป อาหารที่ให้ใช้เศษอาหารจากโรงครัว ปุ๋ยคอก
อาหารสมทบอื่นๆที่หาได้ง่าย เช่น แหนเป็ด สาหร่าย
เศษพืชผักต่างๆ
ปริมาณปลาที่ผลิตได้ก็เพียงพอสำหรับบริโภคในครอบครัว
ส่วนการเลี้ยงปลานิลเพื่อการค้าควรใช้บ่อขนาดใหญ่ตั้งแต่ 0.5 – 3.0 ไร่ ควรจะมีหลายบ่อเพื่อทยอยจับปลาเป็นรายวันรายสัปดาห์และรายเดือน ให้ได้เงินสดมาใช้จ่ายเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับค่าอาหารปลา เงินเดือนคนงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ส่วนการเลี้ยงปลานิลเพื่อการค้าควรใช้บ่อขนาดใหญ่ตั้งแต่ 0.5 – 3.0 ไร่ ควรจะมีหลายบ่อเพื่อทยอยจับปลาเป็นรายวันรายสัปดาห์และรายเดือน ให้ได้เงินสดมาใช้จ่ายเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับค่าอาหารปลา เงินเดือนคนงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ปัจจุบันการเลี้ยงปลานิลในบ่อดินแบ่งได้
4
ประเภท ตามลักษณะของการเลี้ยง ดังนี้
1. การเลี้ยงปลานิลแบบเดี่ยว
โดยปล่อยลูกปลาขนาดเท่ากันลงเลี้ยงพร้อมกันใช้เวลาเลี้ยง 6
– 12
เดือน
แล้ววิดจับหมดทั้งบ่อ
2.
การเลี้ยงปลานิลหลายรุ่นในบ่อเดียวกัน
โดยใช้อวนจับปลาใหญ่
คัดเฉพาะขนาดปลาที่ตลาดต้องการจำหน่ายและปล่อยให้ปลาขนาดเล็กเจริญเติบโตต่อไป
3.การเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลาชนิดอื่น
เช่น ปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาจีน ฯลฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากอาหาร
หรือเลี้ยงร่วมกับปลากินเนื้อเพื่อกำจัดลูกปลาที่ไม่ต้องการ
ขณะเดียวกันจะได้ปลากินเนื้อเป็นผลพลอยได้ เช่น
การเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลากราย และการเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลาช่อน เป็นต้น
4.การเลี้ยงปลานิลแบบแยกเพศโดยวิธีแยกเพศปลา หรือเปลี่ยนเป็นเพศเดียวกันเพื่อป้องกันการแพร่พันธุ์ในบ่อส่วนมากนิยมเลี้ยงเฉพาะปลาเพศผู้ซึ่งมีการเจริญเติบโตเร็วกว่าเพศเมียโดยสามารถจัดเตรียมลูกปลาเพศผู้ได้
4
วิธีดังนี้
วิธีที่
1
การคัดเลือกโดยดูลักษณะเพศภายนอกนำปลาที่เลี้ยงทั้งหมดมาแยกเพศโดยตรงซึ่งจำเป็นต้องเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
โดยดูจากลักษณะสีใต้คางของปลา สำหรับปลาเพศผู้จะมีสีแดงหรือสีชมพู
ส่วนปลาเพศเมียใต้คางจะมีสีเหลือง หรือจะสังเกตบริเวณช่องขับถ่ายเพศเมียจะมี
3
ช่อง เพศผู้มี
2
ช่อง
ขนาดปลาที่สามารถเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนควรมีขนาดความยาวตั้งแต่
12
ซม.
และมีน้ำหนัก
50
กรัม
ขึ้นไป
วิธีที่
2
การผสมข้ามสายพันธุ์ การผสมข้ามพันธุ์ทั้งสกุลและชนิด
ในปลาบางชนิดทำให้เกิดลูกปลาเพศเดียวกันได้ เช่น การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง
O.niloticus
กับ
O.aureus
จะได้ลูกพันธุ์ปลานิลผู้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศอิสราเอล
วิธีที่
3
การใช้ฮอร์โมนแปลงเพศปลา สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
การฝังแคปซูล การแช่ปลาในสายละลายฮอร์โมนและการผสมฮอร์โมนในอาหารให้ลูกปลากิน
โดยใช้ฮอร์โมนแอนโดรเจนหรือฮอร์โมนเพศผู้สามารถเปลี่ยนเพศได้มากกว่า
95
เปอร์เซ็นต์
วิธีที่
4ปลานิลซุเปอร์เมล เป็นการผลิตลูกปลานิลเพศผู้ทั้งครอก
ซึ่งสถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำได้ดำเนินการขยายพันธุ์พร้อมจำหน่ายให้แก่เกษตรกรหลายแห่ง
อาทิ ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดพิษณุโลก สุราษฏร์ธานีและขอนแก่น
การขุดบ่อเลี้ยงปลาในปัจจุบันนิยมใช้เครื่องจักรกล เช่น รถแทรกเตอร์
รถตักขุดดิน
เพราะเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่าใช้แรงงานจากคนขุดเป็นอันมากนอกจากนี้ยังปฏิบัติงานได้รวดเร็วตลอดจนสร้างคันดิน
ก็สามารถอัดให้แน่นป้องกันการรั่วซึมได้เป็นอย่างดี ความลึกของบ่อประมาณ
1
เมตร มีเชิงลาดประมาณ
45
องศา เพื่อป้องกันการพังทลายของดิน แลมีชานบ่อกว้างประมาณ
1–
2
เมตร
ตามขนาดความกว้าวยาวของบ่อที่เหมาะสม ถ้าบ่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น คู คลอง
แม่น้ำ
หรือในเขตชลประทาน ควรสร้างท่อระบายน้ำทิ้งที่พื้นบ่ออีกครั้งหนึ่ง
โดยจัดระบบน้ำเข้าออกคนละทาง เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำ
แต่ถ้าบ่อนั้นไม่สามารถจะทำท่อชักน้ำและระบายน้ำได้จำเป็นต้องใช้เครื่องสูบน้ำ
ขั้นตอนการเลี้ยงปลานิลในบ่อ
1. กำจัดวัชพืชและพรรณไม้ต่างๆ
เช่น กก หญ้า ผักตบชวา ให้หมดโดยนำมากอองสุมไว้
เมื่อแห้งแล้วนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในขณะที่ปล่อยปลาลงเลี้ยงถ้าในบ่อเก่ามี
เลนมากจำเป็นต้องสาดเลนขึ้นโดยนำไปเสริมคันดินที่ชำรุด
หรือ ใช้เป็นปุ๋ยแก่พืชผัก ผลไม้ บริเวณใกล้เคียง
พร้อมทั้งตกแต่งเชิงลาดและคันดินให้แน่นด้วย
กำจัดศัตรู
ศัตรูของปลานิล ได้แก่ ปลาจำพวกกินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาหมอ ปลาดุก
นอกจากนี้ก็มีสัตว์พวก กบ งู เขียด เป็นต้น
ดังนั้นก่อนที่จะปล่อยปลานิลลงเลี้ยงจึงจำเป็นต้องกำจัดศัตรูดังกล่าวเสียก่อน
โดยวิธีระบายน้ำออกให้เหลือน้อยที่สุด
การกำจัดศัตรู ของปลาอาจใช้โล่ติ๊นสดหรือแห้งประมาณ
1
กิโลกรัม ต่อปริมาณน้ำในบ่อ
100
ลูกบาศก์เมตร โดยทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียดนำลงแช่น้ำประมาณ
1 – 2
ปี๊บ ขยำโล่ติ๊นเพื่อให้น้ำสีขาวออกมาหลายๆครั้งจนหมด นำไปสาดให้ทั่วบ่อ ศัตรูพวกปลาจะลอยหัวขึ้นมาภายหลังสาดโล่ติ๊น ประมาณ
30
นาที ใช้สวิงจับขึ้นมาบริโภคได้ปลาที่เหลือตายพื้นบ่อจะลอยในวันรุ่งขึ้น
ส่วนศัตรูจำพวก กบ เขียด งู จะหนีออกจากบ่อไป
และก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยงควรทิ้งระยะไว้ประมาณ
7
วัน เพื่อให้ฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัวไปหมดเสียก่อน
2.
การใส่ปุ๋ย โดยปรกติแล้วอุปนิสัย
ในการกินอาหารของปลานิล
จะกินอาหารจำพวกแฟรงก์ตอนพืชและสัตว์เศษวัสดุเน่าเปื่อยตามพื้นบ่อ
แหน
สาหร่าย ฯลฯ ดังนั้น
ในบ่อเลี้ยงปลาควรให้อาหารธรรมชาติดังกล่าวเกิดขึ้นเสมอจึงจำเป็นต้องใส่
ปุ๋ยลงไปละลายเป็นธาตุอาหารซึ่งพืชน้ำขนาดเล็กจำเป็นต้องใช้ในการปรุงอาหาร
และเจริญเติบโตโดยกระบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งเป็นโซ่อาหาร
อันดับต่อไปคือ แฟรงก์ตอนสัตว์ ได้แก่ ไรน้ำ และตัวอ่อนของแมลง
ปุ๋ยที่ใช้ได้แก่ มูลวัว ควาย หมู เป็ด ไก่
นอกจากปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์แล้วก็อาจใช้ปุ๋ยหมักและฟางข้าวปุ๋ยพืชสดต่างๆ
ได้เช่นเดียวกัน
อัตราส่วนการใส่ปุ๋ยคอก
ในระยะแรกควรใส่ประมาณ
250 – 300
กก./
ไร่
/
เดือน
ส่วนในระยะหลังควรลดลงเพียงครึ่งหนึ่ง หรือสังเกตสีของน้ำในบ่อ
และในกรณีที่หาปุ๋ยคอกไม่ได้ก็หาปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร
15 :15 : 15
ใส่ประมาณ
5
กก.
/
ไร่
/
เดือน ก็ได้ วิธีใส่ปุ๋ยถ้าเป็นปุ๋ยคอกควรตากให้แห้งเสียก่อน
เพราะปุ๋ยสดจะทำให้มีแก๊สจำพวกแอมโมเนียละลายอยู่ในน้ำมาก เป็นอันตรายต่อปลา
การใส่ปุ๋ยคอกใช้วิธีหว่านลงไปในบ่อโดยละลายน้ำทั่วๆก่อนส่วนปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยสดนั้นควรกองสุมไว้ตามมุมบ่อ
2 –3
แห่ง
โดยมีไม้ปักล้อมเป็นคอกรอบกองปุ๋ยเพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนที่ยังไม่สลายตัวกระจัดกระจาย
3.
อัตราปล่อยปลา
อัตราการปล่อยปลาที่เลี้ยงในบ่อดินขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำ อาหาร
และการจัดการเป็นสำคัญ โดยทั่วไปจะปล่อยลูกปลาขนาด
3 – 5
เซนติเมตร
ลงเลี้ยงในอัตรา
1 – 3
ตัว /
ตารางเมตร หรือ
2,000 – 5,000
ตัว /
ไร่
4.
การให้อาหาร
การใส่ปุ๋ยเป็นการให้อาหารแก่ปลานิลที่สำคัญมากวิธีหนึ่ง
เพราะจะได้อาหารธรรมชาติที่มีโปรตีนสูงและราคาถูกแต่เพื่อเป็นการเร่งให้ปลา
นิลที่เลี้ยงเจริญเติบโตเร็วขึ้นหรือถูกต้องตามหลักวิชาการ
จึงควรให้อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรทเป็นอาหารสมทบด้วย เช่น รำ ปลายข้าว
มีโปรตีนประมาณ
20 %
เศษอาหารที่เหลือจากโรงครัวหรือภัตตาคาร อาหารประเภทพืชผัก เช่น แหนเป็ด
สาหร่าย ผักตบชวาสับให้ละเอียด เป็นต้น
อาหารสมทบเหล่านี้ควรเลือกชนิดที่มีราคมถูกและหาได้ง่าย
ส่วนปริมาณที่ให้ก็ไม่ควรเกิน
4 %
ของน้ำหนักปลาที่เลี้ยง
หรือจะใช้วิธีสังเกตจากปลาที่ขึ้นมากินอาหารจากจุดที่ให้เป็นประจำ คือ
ถ้ายังมีปลานิลออกมาออกันมากเพื่อรอกินอาหารก็เพิ่มจำนวนอาหารมากขึ้นตามลำดุบทุก
1 –
2
สัปดาห์
ในการให้อาหารสมทบมีข้อพึงระวังคือ
ถ้าปลากินไม่หมดอาหารจมพื้นบ่อหรือละลายน้ำ
มากก็จะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นหลายประการ เช่น
เสียค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์
ทำให้น้ำเน่าเสียเป็นอันตรายต่อปลาที่เลี้ยง และ/หรือต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการสูบถ่ายเปลี่ยนน้ำบ่อยๆเป็นต้น
การเลี้ยงปลานิลเพศผู้ในบ่อดินแบบกึ่งพัฒนา
1.
เตรียมบ่อโดยสูบน้ำเข้าบ่อให้ได้ระดับน้ำสูงประมาณ
1
เมตรใส่ปูนขาว
200
กก./ไร่
และปุ๋ยคอก
200
กก./
ไร่
ทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ
7
วัน เพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติในบ่อซึ่งเป็นอาหารปลา
2. ปล่อยลูกปลา
ขนาด
2 – 3
เซนติเมตร จำนวน
5,000
ตัว /
ไร่
ในระหว่างการเลี้ยงมีการเติมปุ๋ยคอก
200
กก./
ไร่
/
เดือน
เพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติในบ่อ ให้อาหารเสริม เช่น ปลาป่น รำข้าว
กากถั่วเหลือง เป็นต้น ควรมีการเติมน้ำในบ่อปลาด้วยอย่างสม่ำเสมอ
3. เมื่อเลี้ยงครบ
5
เดือน จะได้ปลาขนาด
300
กรัม เริ่มให้ปลากินอาหารเม็ดระดับโปรตีน
25 %
ปริมาณ
3%
ของน้ำหนักตัวเป็นเวลา
1
เดือน
4.
ได้ปลานิลขนาด
2 – 3
ตัว /
กิโลกรัม
ผลผลิต
1.5 – 2
ตัน /
ไร่
(ข้อมูลจาก
สถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง)
การเลี้ยงปลานิลเพศผู้ในบ่อดินแบบพัฒนา
1.
เตรียมบ่อโดยสูบน้ำเข้าบ่อให้ได้ระดับความสูงประมาณ
1
เมตร ใส่ปูนขาว
200
กก./ไร่
ทิ้งไว้ประมาณ
7
วัน
2. นำลูกปลานิลขนาด
45
กรัม มาปล่อยในบ่อที่เตรียมน้ำไว้ในอัตรา
8,000
ตัว /
ไร่
3.
ให้อาหารเม็ดระดับโปรตีน
25 %
วันละ
3
ครั้ง
ปริมาณ
5 %
ของน้ำหนักตัว และมีการตรวจสอบอัตรารอดและปรับปริมาณอาหารทุกเดือน
เลี้ยงเป็นเวลา
4
เดือนในระหว่างการเลี้ยงมีการเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อเพิ่มอากาศตลอดเวลา
4.
จะได้ปลานิลขนาด
1– 2
ตัว /
กิโลกรัม
ผลผลิต
3
ตัน
/
ไร่
(ข้อมูลจาก
สถาบันวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง)
การเลี้ยงปลาร่วมกับสัตว์บก
วัตถุประสงค์เพื่อใช้ข้อมูลสัตว์และปุ๋ยในบ่อเป็นอาหารซึ่งจะเป็นการใช้ประโยชน์แบบผสมผสาน
ระหว่างการเลี้ยงปลากับการเลี้ยงสัตว์อื่นๆ โดยเศษอาหารที่เหลือจากการย่อย
หรือตกหล่นจากที่ให้อาหารของปลาโดยตรง ในขณะที่ข้อมูลของสัตว์จะเป็นปุ๋ยและให้แร่ธาตุสารอาหารแก่พืชน้ำซึ่งเป็นอาหารของปลา
ซึ่งจะลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและแก้ปัญหามลภาวะได้
วิธีการเลี้ยงสัตว์ร่วมกับปลาอาจใช้วิธีการสร้างคอกสัตว์บนบ่อปลาเพื่อไม่ให้มูลไหลลงบ่อปลาโดยตรง
หรือสร้างคอกสัตว์ไว้บนคันบ่อปลาแล้วนำมูลสัตว์มาใส่ลงบ่อในอัตราที่เหมาะสม
ในประเทศไทยนิยมเลี้ยงสุกร จำนวน
10
ตัว หรือ เป็ด ไก่ไข่ จำนวน
200
ตัว ต่อบ่อปลาพื้นที่น้ำ
1
ไร่
1. กระชังหรือคอก
การเลี้ยงปลานิล
โดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติทั้งบริเวณน้ำกร่อยและน้ำจืดที่มีคุณภาพน้ำดี
สำหรับกระชังส่วนใหญ่ที่ใช้กันโดยทั่วไปจะมีขนาดกว้าง
20
เมตร ยาว
25
เมตร ลึก
5
เมตร สามารถจะนำมาใช้ติดตั้ง
2
รูปแบบคือ
1.1
กระชังหรือคอกแบบผูกติดกับที่
สร้างโดยใช้ไม้ไผ่ทั้งลำปักลงในแหล่งน้ำ
ควรมีไม้ไผ่ผูกเป็นแนวนอนหรือเสมอผิวน้ำที่ระดับประมาณ
1 – 2
เมตร เพื่อยึดลำไม้ไผ่ที่ปักลงในดินให้แน่น
กระชังตอนบนและล่างควรร้อยเชือกคร่าวเพื่อใช้ยืดตัวกระชังให้ขึงตึงโดยเฉพาะตรงมุม 4
มุม ของกระชังทั้งด้านล่างและด้านบนการวางกระชังควรวางให้เป็นกลุ่มโดยเว้นระยะห่างกันให้น้ำไหลผ่านได้สะดวก
อวนที่ใช้ทำกระชัง เป็นอวนไนลอนช่องตาแตกต่างกันตาม ขนาดของปลานิลที่เลี้ยง
คือขนาดช่องตา
1/4
นิ้ว ขนาด1/2
นิ้ว และอวนตาที่ถี่สำหรับเพาะและเลี้ยงลูกปลาวัยอ่อน
1.2
กระชังแบบลอย
ลักษณะของกระชังก็เหมือนกับกระชังโดยทั่วไปแต่ไม่ใช้เสาปักยึดอยู่กับที่
ส่วนบนของกระชังผูกติดทุ่นลอยซึ่งใช้ไม้ไผ่หรือแท่งโฟมมุมทั้ง4ด้านล่างใช้แท่งปูนซีเมนต์หรือก้อนหินผูกกับเชือกคร่าวถ่วงให้กระชังจมถ้าเลี้ยงปลาหลาย
กระชังก็ใช้เชือกผูกโยงติดกันไว้เป็นกลุ่ม
อัตราส่วนของปลาที่เลี้ยงในกระชัง
ปลานิลที่เลี้ยงในกระชังในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำดี สามารถปล่อยปลาได้หนาแน่นคือ
40 –
100
ตัว
/
ตรม.
โดยให้อาหารสมทบที่เหมาะสม เช่น ปลายข้าว หรือ มันสำปะหลัง รำข้าว ปลาป่น
และพืชผักต่างๆโดยมีอัตราส่วนของโปรตีนประมาณ
20 %
สำหรับวิธีทำอาหารผสมดังกล่าว คือ ต้มเฉพาะปลายข้าว หรือมันสำปะหลังให้สุก
แล้วนำมาคลุกเคล้ากับรำปลาป่นและพืชผักต่างๆ
แล้วปั้นเป็นก้อนเพื่อมิให้ละลายน้ำได้ง่ายก่อนที่ปลาจะกิน
การเลี้ยงปลานิลในน้ำกร่อย
ในปัจจุบันพื้นที่และสภาพแหล่งน้ำจืดที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงปลามีปริมาณลดน้อยลง
การใช้แหล่งน้ำกร่อยและทะเล เพื่อการเพาะเลี้ยงกำลังเป็นที่น่าสนใจ ปลาในสกุลปลานิลหลายชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดีในน้ำกร่อย
ซึ่งการคัดเลือกปลานิลชนิดใดเพื่อเลี้ยงในน้ำความเค็มต่างๆ
จะต้องพิจารณาให้เหมาะสม
ข้อดีของการเลี้ยงปลานิลในน้ำกร่อยคือจะมีปัญหาเรื่องกลิ่นน้อยและมีปริมาณแบคทีเรียน้อยกว่าการเลี้ยงในน้ำจืด
แต่สำหรับปัญหาใหญ่ของการเลี้ยงปลาในน้ำที่มีระดับความเค็มสูง คือโรคปลา
ความเครียดและการทำร้ายร่างกายกันเอง
ชนิด |
ความเค็มที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต |
O.mossambicus
O.niloticus
O.aureus
O.spilurus
Red tilapia
|
17.5
ppt
5-10
ppt
10-15 ppt
25-30 ppt
25-30 ppt
|
การเลี้ยงปลานิลชนิดต่างๆต้องพิจารณา
ถึงความเหมาะสมของแต่ละชนิดให้สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมที่จะเลี้ยง
เช่น
O.niloticus
และ
O.aureus
เจริญเติบโตและเหมาะสมที่จะเลี้ยงในน้ำจืดและในน้ำกร่อยปลานิลแดงซึ่งเป็นลูกผสมของปลาหมอเทศ
O.mossambicus
กับปลานิล
O.niloticus
และO.spilurusเจริญเติบโตได้ดีในน้ำที่มีระดับความเค็มสูงส่วนในประเทศไทยเลี้ยงปลานิล
O.niloticus
โดยปล่อยเลี้ยงในอัตรา
5
ตัว/ตรม. ได้ผลผลิต
11,000
กก./10,000
ตรม. ในระยะเวลาเลี้ยง
5
เดือน ปลาจะเจริญเติบโตเฉลี่ยวันละ
2.2
กรัม แต่ทั้งนี้ระดับความเค็มต้องต่ำกว่า
30
ppt
สรุปได้ว่าการจะพิจารณาเลี้ยงปลานิลในรูปแบบใดตั้งแต่ระบบพื้นฐานคือ ไม่พัฒนา
ไปจนถึงระบบการเลี้ยงพัฒนาขั้นสูงย่อมขึ้นอยู่กับระบบชีววิทยา ระบบสังคมเศรษฐกิจ
ปัจจัยของสภาพแวดล้อมและระบบตลาดจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
การเจริญเติบโตและผลผลิต
ปลานิลเป็นปลาที่มีการเจริญเติบโตเร็ว เมื่อได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องจะมีขนาดเฉลี่ย 500 กรัม ในเวลา 1 ปี
ผลผลิตไม่น้อยกว่า 500
กก./ไร่/ปี ในกรณีเลี้ยงในกระชังที่คุณภาพน้ำดี
มีอาหารสมทบอย่างสมบูรณ์สามารถให้ผลผลิตไม่น้อยกว่า 5
กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
การเจริญเติบโตของปลานิล
อายุปลา(เดือน)
|
ความยาว(ซม.)
|
น้ำหนัก(กรัม)
|
3
|
10
|
30
|
6
|
20
|
200
|
9
|
25
|
350
|
12
|
30
|
500
|
การจับจำหน่ายและการตลาด
ระยะเวลาการจับจำหน่ายไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับขนาดของปลานิลและความต้องการของตลาด
โดยทั่วไปปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงในบ่อรุ่นเดียวกันก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะจับจำหน่าย
เพราะปลานิลที่ได้จะมีน้ำหนักประมาณ 2-3
ตัวต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่ตลาดต้องการ
ส่วนปลานิลที่ปล่อยลงเลี้ยงหลายรุ่นในบ่อเดียวระยะเวลาการจับจำหน่ายก็ขึ้นอยู่กับราคาปลาและความต้องการของผู้ซื้อ
การจับปลานิลทำได้ 2 วิธี
ดังนี้
1. จับปลาแบบไม่วิดบ่อแห้ง จะใช้อวนตาห่างจับปลาเพราะจะได้ปลาที่มีขนาดใหญ่ตามที่ต้องการ การตีอวนจับปลากระทำโดยผู้จับยืนเรียงแถวหน้ากระดาน
และเว้นระยะห่างกัน ประมาณ4.50
เมตร
ซึ่งอยู่ทางด้านหนึ่งของบ่อแล้วลากอวนไปยังอีกด้านหนึ่งของบ่อตามความยาวแล้วยกอวนขึ้น
หลังจากนั้นก็นำสวิงตักปลาใส่เข่งเพื่อชั่งขาย
ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนได้ปริมาณตามที่ต้องการ
ส่วนปลาเล็กก็คงปล่อยเลี้ยงในบ่อต่อไป
การลากอวนแต่ละครั้งจะมีปลาเบญจพรรณเป็นผลพลอยได้เสมอ เช่น ปลาดุก
ปลาหลด ปลาตะเพียน ปลาช่อน เป็นต้น
การคัดขนาดของปลากระทำได้ 2วิธีคือ
ถ้านำไปจำหน่ายที่องค์การสะพานปลา
องค์การสะพานปลาก็จะจัดการคัดขนาดให้แต้ถ้าเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาจำหน่ายที่ปากบ่อก็จำเป็นต้องทำการคัดขนาดปลากันเอง
2. จับปลาแบบวิดบ่อแห้ง
ก่อนทำการจับปลาจะต้องสูบน้ำออกจากบ่อให้เหลือน้อย
แล้วตีอวนจับปลาเช่นเดียวกับวิธีแรกจนกระทั่งปลาเหลือจำนวนน้อย
จึงสูบน้ำออกจากบ่ออีกครั้งหนึ่งและขณะเดียวกันก็ตีน้ำไล่ปลาให้ไปรวมกันอยู่ในร่องบ่อ
ร่องบ่อนี้จะเป็นส่วนที่ลึกอยู่ด้านหนึ่งของบ่อเมื่อน้ำในบ่อแห้ง
ปลาจะมารวมกันอยู่ที่ร่องบ่อ และเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาก็จับขึ้นจำหน่ายต่อไป
การจับปลาลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะทำทุกปีในฤดูแล้งเพื่อตากบ่อให้แห้งและเริ่มต้นเลี้ยงปลาในฤดูการผลิตต่อไป
ตลาดของปลานิลส่วนใหญ่ยังใช้บริโภคภายในประเทศอย่างไรก็ตามมีโรงงานห้องเย็นเริ่มรับซื้อปลานิล
ปลานิลแดง เพื่อแปรรูปส่งออกจำหน่ายต่างประเทศ เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกา อิตาลี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย
เป็นต้น โดยโรงงานจะรับซื้อปลาขนาด 400
กรัมขึ้นไป เพื่อแช่แข็งส่งออกทั้งตัวและรับซื้อปลาขนาด 100-400 กรัม
เพื่อแล่เฉพาะเนื้อแช่แข็ง หรือนำไปแปรรูปเพื่อส่งออกต่อไป
ต้นทุนและผลตอบแทน
ตาราง
แสดงต้นทุนการผลิตปลานิลเฉลี่ยต่อไร่ต่อรุ่น
หมายเหตุ :
ตัวเลขประเมิน (ปี 2538)
ที่มา :
กลุ่มวิจัยสินค้าเกษตรกรรมที่ 2 สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร
วิถีการตลาดปลานิล
ลักษณะและการจำหน่ายผลผลิตปลานิล
เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล
จะมีการจำหน่ายผลผลิตในหลายลักษณะ
ได้แก่ ขายปลีกแก่พ่อค้าต่างๆ
ที่เข้ามารับซื้อจากฟาร์มซึ่งมีทั้งพ่อค้าขายปลีกในตลาดหรือพ่อค้ารวบรวมใน
พื้นที่และจากต่างท้องถิ่นหรือส่งให้องค์การสะพานปลาขายส่วนใหญ่แล้วเกษตรกร
จะขายแก่พ่อค้าผู้รวบรวม 66-71%
และนำไปขายแก่พ่อค้าขายส่งที่องค์การสะพานปลา 21% และขายในรูปลักษณะอื่นๆ
3-6 %
ราคาและความเคลื่อนไหว
ราคาและผลผลิตปลานิลแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกัน
ตลาดในชนบทมีความต้องการปลาขนาดเล็กเพื่อการบริโภค
ซึ่งตรงกันข้ามกับตลาดในเมืองมีความต้องการปลาขนาดใหญ่
ราคาของปลาจึงแตกต่างกัน
ความเคลื่อนไหวของราคาที่เกษตรกรขายได้และราคาขายส่งเป็นไป
ในลักษณะทิศทางเดียวกันและขึ้นอยู่กับฤดูกาล
ในการขายปลาโดยปกติราคาขายจะสูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน
สำหรับราคาจำหน่ายที่ฟาร์มอยู่ที่ขนาดของปลาอยู่ระหว่าง
12-15
บาท/กก. สำหรับราคาขายปลีกโดยเฉลี่ยราคาอยู่ที่
20-25
บาท/กก. ผลต่างระหว่างราคาฟาร์มและราคาขายปลีกเท่ากับ
8-10
บาท/กก.
ด้านราคาส่งออกนั้นขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลกเป็นสำคัญ
เมื่อประเทศคู่แข่ง เช่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย
สามารถผลิตได้มากก็จะทำให้ประเทศไทยส่งขายได้น้อย
เพราะเนื่องจากผลผลิตปลานิลแช่แข็งทั้งในรูปปลาทั้งตัวและปลาทั้งตัวควักไส้มีราคาสู้กับประเทศคู่แข่งไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ราคาปลานิลแล่เฉพาะเนื้อมีราคาอยู่ระหว่าง
75-80
บาท/กก. และสำหรับปลานิลแช่แข็งทั้งตัวอยู่ระหว่าง
30-35
บาท/กก.
ปัญหาการตลาดปลานิลของเกษตรกร
ตลาดปลานิลพ่อค้าคนกลางเป็นผู้กำหนดราคาและปริมาณการซื้อ
โดยที่พ่อค้าคนกลางจะเข้าไปรับซื้อถึงฟาร์ม
เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถนำผลผลิตออกมาขายที่ตลาด
เนื่องจากขาดอุปกรณ์ในการจับและลำเลียง
อีกทั้งยังไม่มีความรู้ในด้านการตลาด
ปัญหาที่สำคัญซึ่งเป็นตัวกำหนดราคาที่เกษตรกรพบอยู่เสมอ คือ
1.ขนาดพันธุ์ปลา ปลา
นิลเป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้สามารถออกลูกตลอดทั้งปีเป็นปลานิลเพศเมียส่วน
ใหญ่และลูกปลาจึงมีขนาดเล็กและไม่ได้น้ำหนักตามที่ผู้ซื้อต้องการ
2. กลิ่นโคลนของเนื้อปลา
เนื่องจากปลานิลที่เลี้ยงยังใช้เศษอาหาร วัสดุที่เหลือจากการ
บริโภค
หรือเลี้ยงปลาผสมผสาน ทำให้ปลาแล่เนื้อมีกลิ่นโคลน
3. ปลาที่เกษตรกรจับ ส่วนมากวิดบ่อและปลาตายจำนวนมาก การจับส่งลำเลียงไม่ถูกวิธี
เมื่อนำไปบรรจุจะมีแบคทีเรียสูง ทำให้เนื้อปลามีสีเขียว
4. เกษตรกรขาดแคลนเงินทุน ทำให้เมื่อปลามีขนาดโตพอจำหน่ายได้ เกษตรกรจะรีบขายทันที ทำให้ราคาต่ำ
การกำจัดกลิ่นสาบ
กลิ่น
ที่พบมากในปลาเลี้ยง โดยเฉพาะปลาที่เลี้ยงในบ่อดิน
และเป็นปัญหามากต่อการส่งออก
ได้แก่ กลิ่นสาบหรือกลิ่นโคลนแต่เดิมเข้าใจกันว่าอาหารที่ขึ้นราอาจเป็น
สาเหตุที่ทำให้ปลามีกลิ่นดังกล่าวแต่ปัจจุบันเป็นที่ทราบค่อนข้างแน่นอนแล้ว
ว่ากลิ่นโคลนในตัวปลาเกิดขึ้นเนื่องจาก ปลาดูดซับสารละลายชนิดหนึ่งในน้ำ
เรียกว่า จีออสมิน (Geosmin)
เข้าไปทางเหงือก
หรือกินตัวการที่ผลิตสารนี้เข้าไปโดยตรงแล้วสะสมสารนี้ในเนื้อเยื่อที่สะสม
ไขมันสันนิษฐานกันว่าตัวการที่ผลิตสารนี้ได้แก่
สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียวบางชนิด
เชื้อราและจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นในบ่อเลี้ยง
ตัวการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างหนาแน่นในบ่อที่มีการให้อาหารมากดังนั้นหาก
จะกล่าวว่าอาหารเป็นต้นเหตุของกลิ่นโคลนก็เป็นได้
เพราะปริมาณอาหารที่ใช้เลี้ยงไม่ใช่คุณภาพของอาหารโดยตรงที่เป็นต้นเหตุ
กลิ่นโคลนไม่ใช่เป็นกลิ่นถาวรที่อยู่กับตัวปลาตลอดไปกลิ่นนี้จะหายไปเมื่อนำปลาไปใส่ไว้ในน้ำสะอาดและงดให้อาหารเป็นเวลา
7
วัน ที่อุณหภูมิน้ำ
24
องศาเซลเซียส
ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้จะทำให้กลิ่นโคลนหมดไปจากตัวปลาเร็วขึ้น
การแช่ปลาในน้ำสะอาดเป็นเวลา
7
วัน จะทำให้ปลาสูญเสียน้ำหนักไปประมาณ
5-12
เปอร์เซ็นต์
ปลานิลไม่ต้องการกรดไขมัน
w-6
ซึ่งมีมากในน้ำมันปลาจึงไม่ควรใส่น้ำมันปลาในอาหารปลานิล เพราะนอกจากไม่มี
ประโยชน์ในด้านให้กรดไขมันที่จำเป็นแล้วยังอาจทำให้ปลามีกลิ่นคาวรุนแรงแม้
ว่าจะเก็บปลาไว้เป็นปีๆ
ก็ตาม
ปลานิลที่ขุนไว้จนอ้วนจะมีเนื้อยุ่ยเหลวเมื่อทำเป็นเนื้อแล่เนื่องจากไขมันอาหารไปสะสมตามเนื้อมากเกินไป
ตามปกติปลาเลี้ยงจะมีไขมันมากกว่าปลาธรรมชาติอยู่แล้วเพราะปลาเลี้ยงได้รับอาหาร
เต็มที่เพื่อเร่งให้เจริญเติบโตเร็ว อาหารที่มีไขมันหรือสัดส่วนของพลังงาน
ต่อโปรตีนสูง
จึงทำให้คุณภาพของเนื้อปลาต่ำลง
ในทางตรงกันข้ามหากเนื้อปลามีไขมันน้อยเกินไปซึ่งมีสาเหตุมาจากปลาได้รับ
อาหารไม่เพียงพอเนื้อปลาจะแห้งและแข็งเกินไปไม่ชวนรับประทาน
ตลาดภายในประเทศ
ปัจจุบันผู้บิโภคภายในประเทศ เริ่มสนใจที่จะบริโภคปลานิลเพิ่มสูงขึ้น
และกรมประมงมีโครงการส่งเสริมให้มีการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลานิล
ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ผู้บริโภคภายในประเทศไทยรู้ถึงคุณค่าของอาหารโปรตีนจากปลานิลมากขึ้น
โอกาสที่การจำหน่ายภายในประเทศจึงน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตามไปด้วย
ผลผลิตปลานิลส่วนใหญ่จะบริโภคภายในประเทศ เป็นรูปสด
89% ในการแปรรูปทำเค็ม ตากแห้ง
5% ย่าง
3%
และที่เหลือในรูปอื่นๆ
สำหรับปลานิลทั้งตัว
และในรูปแช่แข็งก็มีจำหน่ายในประเทศโดยผู้ผลิตคือโรงงานและจำหน่ายให้ภัตตาคารหรือร้านอาหาร
ตลาดต่างประเทศ
เนื่องจากภาวการณ์ติดต่อและการคมนาคมในปัจจุบันทำให้สะดวก
นอกจากนี้ผลต่างของราคาจำหน่ายปลานิลของต่างประเทศยังมีความต้องการปลานิลเพื่อบริโภคสูง
ตลาดต่างประเทศมีทั้งตลาดในยุโรปตะวันออกกลางสหรัฐอเมริกาออสเตรเลียและเอเชีย
โดยปลานิลแช่แข็งที่ส่งออกมีปริมาณไม่มากนัก
ในปี2533ประเทศไทยส่งออกปลานิลทั้งในรูปปลานิลแช่แข็งและในรูปแล่เนื้อประมาณ111,174.64กก.เพิ่มขึ้น
179,231.72
กก. ในปี
2534
หรือคิดเป็นร้อยละ
61.22
ประเทศคู่แข่งปลานิลแช่แข็งที่สำคัญคือ ไต้หวัน บังกลาเทศ
ประเทศเหล่านี้สามารถผลิตปลาที่ได้ขนาด เมื่อนำมาแล่เนื้อจะมีขนาด
40-60
กรัมและ60-80
กรัมต่อชิ้น นั้นคือ ขนาดปลาต้องมีน้ำหนัก
400
กรัม/ตัวขึ้นไปซึ่งการผลิตปลานิลให้มีลักษณะตามต้องการของตลาดต่างประเทศ
จึงต้องพิจารณาถึงต้นทุนและกรรมวิธีในการผลิตอย่างรอบคอบ
แนวโน้มการเลี้ยงปลานิลในอนาคต
ปลานิลเป็นปลาที่ตลาดผู้บริโภคยังมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆเนื่องจาก
จำนวนประชากรมีอัตราการเจริญเติบโตสูงจึงส่งผลต่อแนวโน้มการเลี้ยงปลาชนิด
นี้ให้มีลู่ทางแจ่มใสต่อไปโดยไม่ต้องกังวลปัญหาด้านการตลาดเนื่องจากเป็นปลา
ที่มีราคาดีไม่มีอุปสรรคเรื่องโรคระบาดเป็นที่นิยมบริโภคและเลี้ยงกันอย่าง
แพร่หลายในทั่วทุกภูมิภาคเพราะสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายรูปแบบโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในปัจจุบันปลานิลสามารถส่งเป็นสินค้าออกไปสู่ต่างประเทศในลักษณะ
ของปลาแล่เนื้อ ตลาดที่สำคัญๆ
อาทิ ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อิตาลี
เป็นต้น ดังนั้นการเลี้ยงปลานิลให้มีคุณภาพ
ปราศจากกลิ่นโคลนย่อมจะส่งผลดีต่อการบริโภค
การจำหน่ายและการให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด
0 comments:
Post a Comment